บริจาคทรัพย์

บริจาคทรัพย์

Saturday, April 17, 2010

ตำแหน่งแทนคือแฟนน้อย

แท็กของ Technorati: {กลุ่มแท็ก}

เนื้อเพลง : ตำแหน่งแทนคือแฟนน้อย

ศิลปิน : หญิง ธิติกานต์

อัลบั้ม : ตำแหน่งแทนคือแฟนน้อย

ตำแหน่งแทนคือแฟนน้อย
คำร้อง / ทำนอง / เรียบเรียง : พลสันต์ พินิจคุณ (A-MOB)
หัวใจพลันร่วงโรย โอดโอยน้ำตาร่วงริน เมื่อได้ยิน หัวใจสิ้นสลาย
รู้มั๊ยเขาเป็นใคร คำถามที่ใครคนนั้น เอ่ยถึงแฟนฉัน ดั่งคมมีดนับพันมาทิ่มแทง
คนที่ฉันเรียกแฟน เธอเรียกแทนได้ซึ้งกว่าใคร
ว่าสามีตามกฎหมาย เธอบอกไว้ ฐานะของผู้ชาย คนที่ใจฉันเรียกแฟน
นี่เขามาหลอกลวงฉัน จากวันวานฉันครองตำแหน่งแฟน
เมื่อความจริงเริ่มแดง ตำแหน่งแทนคือแฟนน้อย
ทุกข์ระกำช้ำใจ ถูกใครเค้ามองเหยียดหยาม เจ็บเพราะการกระทำจากชายที่มีแต่คำว่าหลอกลวง
คนที่ฉันเรียกแฟน เธอเรียกแทนได้ซึ้งกว่าใคร
ว่าสามีตามกฎหมาย เธอบอกไว้ ฐานะของผู้ชาย คนที่ใจฉันเรียกแฟน
นี่เขามาหลอกลวงฉัน จากวันวานฉันครองตำแหน่งแฟน
เมื่อความจริงเริ่มแดง ตำแหน่งแทนคือแฟนน้อย
คนที่ฉันเรียกแฟน เธอเรียกแทนได้ซึ้งกว่าใคร
ว่าสามีตามกฎหมาย เธอบอกไว้ ฐานะของผู้ชาย คนที่ใจฉันเรียกแฟน
นี่เขามาหลอกลวงฉัน จากวันวานฉันครองตำแหน่งแฟน
เมื่อความจริงเริ่มแดง ตำแหน่งแทนคือแฟนน้อย
เจ็บช้ำจนเกินไปหน่อย แฟนน้อยต้องขอลา

Tuesday, April 6, 2010

Monday, April 5, 2010

อัญมณีชีวิต

udonterritory 800x

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ดินแดนอันไกลโพ้น
ผู้คนอยู่กันด้วยอาชีพค้าขาย มีพ่อค้าวาณิชและเด็กหนุ่มมากมาย
ต่างเดินทางออกไปหาประสบการณ์ในการซื้อขายสินค้าและร่ำเรียนวิชา
ว่ากันว่า ที่ขอบชายแดนของดินแดนแห่งนั้น มีภูเขาสูงตระหง่านลูกหนึ่ง
บนยอดเขามีชายชราที่เคยร่ำรวยมหาศาล แต่ในวันหนึ่ง
เขากลับทิ้งทรัพย์สมบัติขึ้นไปอยู่กินอย่างเรียบง่ายบนภูเขา
บ้างก็ว่าชายชรายังจะต้องมีสมบัติติดตัวอยู่มากมาย
จึงอยู่อย่างสมถะบนเขาได้ บ้างก็ว่าเขาตายไปแล้ว
บ้างก็ว่าวันหนึ่งเขาต้องทนไม่ไหว
และลงมาเสพสุขยังพื้นดินเบื้องล่างในสักวันหนึ่ง
เด็กหนุ่มคนหนึ่งมีชื่อว่าปาหัน เป็นลูกขอทานในเมือง
เขาใฝ่ฝันจะร่ำเรียนวิชาเพื่อจะเป็นพ่อค้า
และหลีกหนีให้พ้นการเป็นขอทานเที่ยวแบมือขอเศษเงินจากผู้คน
เมื่อได้ยินเรื่องราวชายชราบนยอดเขา ปาหันเก็บเอาไปฝันในคืนหนึ่ง
ว่าชายชราได้เรียกเขาไปพบภายในถ้ำที่ซ่อนตัวอยู่บนยอดเขานั้น
ชายชราแปลกหน้ามอบอัญมณีสีน้ำตาลวาวเจิดจรัสก้อนใหญ่ให้แก่เขา
ปาหันยกอัญมณีนั้นขึ้นชูบนฟ้า ก็สามารถบดบังพระอาทิตย์ได้ทั้งลูก
แสงของอัญมณีที่อยู่ในฝันเจิดจ้าจนปลุกปาหันให้ตื่นขึ้นมา
เด็กหนุ่มสะดุ้งตื่นพร้อมกับความคิดที่ผุดขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“นี่คงเป็นนิมิตที่มาบอกว่าเราจะได้พบสมบัติล้ำค่าบนยอดเขา แน่ล่ะ
เราไปขอสมบัติที่ชายชราไม่ต้องการแล้ว มาสร้างเนื้อสร้างตัวก็ได้นี่!!”

ปาหันทำตามความคิดโดยไม่บอกกล่าวแก่ผู้ใด
เขากล่าวอำลาพ่อเพื่อไปสร้างเนื้อสร้างตัว และเริ่มเดินทางขึ้นไปบนภูเขา
วันแล้ววันเล่า ปาหันเดินทางจนถึงยอดเขาและพบกับชายชราผู้สงบนิ่ง
เครื่องแต่งกายของเขามีลักษณะคล้ายนักบวช
ในอากัปกิริยาที่สงบนิ่งของชายชราแฝงความร่าเริงมาในดวงตาและรอยยิ้ม
“อรุณสวัสดิ์ พ่อหนุ่มน้อย เจ้าจะมาเรียนการปล่อยวางกับเราใช่ไหม”
ปาหันไม่คิดจะร่ำเรียนวิชาอันใดบนยอดเขา เขาตอบปฏิเสธ
“เปล่าเลย ข้ามาขอสมบัติจากท่าน เอาไปสร้างเนื้อสร้างตัว
ข้าฝันเห็นท่านมามอบอัญมณีให้แก่ข้า ข้าจึงมาเพื่อพิสูจน์ความฝัน”
“นั่นล่ะ เจ้ามาตามคำอธิษฐานของเรา”
ชายชรายิ้มอย่างยินดี และเดินเข้าไปหยิบเพชรสีน้ำตาลเจิดจรัส
สะท้อนอรุณรุ่งของพระอาทิตย์วิบวับ รูปพรรณสัณฐานเดียวกับในฝัน
นำมายื่นให้กับปาหัน เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปรับอย่างตื่นตะลึง
ชายชราทำท่าจะเชื้อเชิญให้เขาร่ำเรียนวิชาการปล่อยวาง
ประโยชน์อันใดที่จะต้องเรียนวิชาอื่นใดอีกในเมื่อมีสมบัติล้ำค่าแล้ว
"ไม่ล่ะขอรับ"
ปาหันรีบปฏิเสธและขอลากลับ
ชายหนุ่มประคองเพชรเม็ดงามเอาไว้ เบื้องต้นก็หาผ้ามาห่อ
ต่อมาก็เริ่มหวาดระแวงผู้คนที่ตีนเขา ว่าจะมีใครมาเห็นแล้วแย่งชิง
“เราเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก....”
เขาคิด และเริ่มพูดคุยกับตัวเองตลอดการเดินทางกลับไปยังผืนดินเบื้องล่าง
“ว่าแต่เราจะเอาเพชรเม็ดนี้ไปทำอะไรดีนะ ควรจะเอามันไปขายที่เมืองข้างๆ
ด้วยราคาที่สูงที่สุด ไม่สิ เราจะกลายเป็นคนที่รวยเร็วเกินไป
แล้วก็จะมีคนมาหลอกลวง เพื่อเอาเงินของเราไปอีกมากมาย
หรือควรจะนำเพชรไปตัดเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วค่อยๆทยอยขาย ว่าแต่ที่ไหนดีล่ะ
ว่าแต่เอ...คนตัดเพชรอาจจะเกลี้ยกล่อมให้เราขายเพชรนั้นให้แก่ใครสักคน
หรือไม่ เขาอาจจะบอกแต่แก่ผู้อื่นแล้วทุกคนก็จะมาแย่งชิงเพชรของเรา
หรือเราจะเอาเพชรไปซ่อน... ว่าแต่ที่ไหนล่ะที่จะปลอดภัย
เราคงต้องมาคอยระแวดระวังตลอดเวลา ว่าใครจะมาขโมย
จะปรึกษาใครดีหนอ...ไม่สิ ขืนบอกใครเข้า
ทุกคนจะมากลุ้มรุมแย่งเพชรไปจากมือเราทั้งหมด”
ปาหันเริ่มกุมขมับ หยุดเดินและคิดหาคำตอบอยู่จนค่ำ
ในที่สุด เขาก็เดินหันหลังกลับ และปีนขึ้นไปบนยอดเขาใหม่
เมื่อพบกับชายชราบนยอดเขาผู้ให้เพชรเม็ดงามแก่เขา
ปาหันจ้องมองชายชราผู้ไม่มีร่องรอยของความยึดติดหรือเสียดายใดๆ
“ข้าแต่ท่านผู้ทรงศีล บอกข้าเถิด วิชาปล่อยวางเป็นอย่างไร”
เขาถามคำตอบที่ออกมาจากใจ ชายชรายิ้มละไม
“เจ้าได้เริ่มเรียนบทที่หนึ่งไปแล้ว...”

การรักษาศีลห้าช่วยให้ลดละกิเลสได้อย่างไรครับ

ตัวที่ทำให้จิตใจเรามีความทุกข์ จิตใจมีความเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลา
ก็คือกิเลสทั้งหลายนั่นเอง ทีนี้กิเลสน่ะมันมีหลายระดับ
การที่เราจะศึกษาปฏิบัติธรรมนะ เราต้องค่อยๆ พัฒนา
ยกระดับจิตใจของเราขึ้นเป็นลำดับๆ ไป
อยู่ๆ ปุ๊บปั๊บจะมาบรรลุมรรคผลนิพานเลย มันเป็นไปไม่ได้
กิเลสมันต้องล้างไปเป็นลำดับๆ ก่อน
เครื่องมือในการล้างกิเลสก็คือศีล สมาธิ ปัญญา
เวลาทำต้องทำให้พร้อมนะ ทำให้ถึงพร้อม
พระพุทธเจ้าถึงสอนไงว่า ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม
ไม่ใช่เดินปัญญาอย่างเดียว
บางคนนะมักง่ายคิดจะเดินปัญญาอย่างเดียว
แล้วคิดว่าถ้ามีปัญญาแล้วก็ศีล สมาธิ มันจะมีไปหมด
มันจะหลุดพ้นไปได้เอง จริงๆ ไม่ได้หรอก
เวลาเราเรียนหนังสือเรายังต้องเรียนเป็นชั้นๆ
มีชั้นประถม ชั้นมัธยม ชั้นอุดมศึกษาอะไรอย่างนี้
การปฏิบัติธรรมก็มีเป็นชั้นๆ เหมือนกัน
เบื้องต้นเลยเราต้องรักษาศีลไว้ก่อน
ศีลเนี่ยเป็นเครื่องมือที่จะลดบาปอกุศล
การทำบาป การทำผิดทางกาย ทางวาจา
สมาธินี่เป็นเครื่องลดการทำบาปทำผิดทางใจ
ปัญญาเนี่ยเป็นเครื่องทำลายความเห็นผิด
ก่อนที่จะทำลายความเห็นผิดได้ ต้องล้างกิเลสหยาบๆ ไปก่อน
กิเลสหยาบที่สุดเลยคือกิเลสที่มันย้อมใจเราติด
ผลักดันให้เราทำผิดทางกาย ทางวาจา
เพราะฉะนั้นอย่าดูถูกศีล บางคนดูถูกศีลนะ
คิดว่าจะภาวนาแล้วไม่รักษาศีล คิดว่าทำสมาธิแล้วไม่ต้องมีศีล
นั่นมันทฤษฎีของพระเทวทัตแล้ว มีสมาธิมากนะ เหาะเหินเดินอากาศได้
โห เฉลียวฉลาดหลอกลวง เอาคนไปเป็นสานุศิษย์ได้เยอะแยะ
แต่ไม่มีศีล ด่างพร้อย ไปไม่รอด


เพราะฉะนั้นศีลเนี่ยเป็นเครื่องขัดเกลากิเลสอย่างหยาบ
คือราคะ โทสะ โมหะ กิเลสก็มีอยู่แค่นี้เอง
ราคะ โทสะ โมหะ กิเลสมีสามตัวเท่านี้เอง
ต้องเรียนให้ถ่องแท้นะ กิเลสมีอยู่แค่นี้แหละ ทำไมไม่ชนะมันซะที
กิเลสมีแค่นี้ทำไมถูกมันหลอกอยู่ตลอดเวลา
ราคะ รู้จักไหมราคะ
ราคะเป็นกิเลสที่จะดึง ดึงดูดทุกสิ่งเข้าหาตัวเอง อยากได้
อย่างอยากได้พวงมาลัย ก็ไปดึงเข้ามาแบบนี้ราคะ
พอดึงเข้ามาแล้ว โอ้ นี่มีหนอนอยู่นะ โทสะ
โทสะคือสภาวะที่อะไร ที่ผลัก ผลักอารมณ์ออกไปนะ
ราคะเป็นสภาวะที่จะดึงอารมณ์เข้ามา
โทสะเป็นสภาวะที่จะผลักออกไป
โมหะเป็นสภาวะที่จับจดลังเล เอายังไง
ไม่รู้จะเอายังไงดีนะ วกไปวกมา หมุนไปหมุนมา
กิเลสมีอยู่เท่านี้ ถ้าเมื่อไหร่ที่กิเลสมันย้อมจิตได้
โอกาสที่จะทำบาปอกุศลทางกายทางวาจาก็เกิดขึ้น
อย่างพวกเราเมื่อกี้ได้ยินว่าให้เราตั้งใจรักษาศีล รักษาศีล
อย่างน้อยศีลห้าต้องมีนะ
กระทั่งพระ หรือภิกษุณี แม่ชี หรือสามเณรอะไรก็ต้องมีศีลห้า
ไม่ใช่ศีล ๒๒๗ ศีลสามร้อยกว่าข้อ แล้วก็ทิ้งศีลห้า
ศีลห้านี่แหละพื้นฐานที่สุดเลย สำคัญที่สุดเลยสำหรับการปฏิบัติ
ศีลอื่นๆ ยังเป็นศีลของแถม ศีลที่เป็นตัวล้างกิเลสตรงๆ เลยนะ
ตัวศีลห้านี่ตัวสำคัญที่สุดเลย เพราะฉะนั้นเบื้องต้นเรารักษาศีลห้าไว้ก่อน
ทีนี้บางคนบอกว่ารักษายากจังเลยศีลห้า แค่ห้าข้อก็รักษาไม่ไหวแล้ว
รักษาไม่ได้เพราะอะไร เพราะเราไม่รักษาใจ
ถ้าเรารักษาใจของเราได้อย่างเดียวนะ ศีลกี่ร้อยข้อก็รักษาได้
เพราะคนทำผิดศีลเพราะกิเลส กิเลสมันย้อมใจได้
ยกตัวอย่างนะ เช่นโทสะมันย้อมใจเราได้
เราก็อยากไปฆ่าเขา อยากไปตีเขา ไปด่าเขา ไปส่อเสียดเขา
ไปว่าร้ายเขาอะไรอย่างนี้ หาทางแกล้งเขา นี่เพราะโทสะมันครอบงำจิต
ถ้าราคะมันครอบงำจิตได้นะ ก็อยากไปเป็นชู้เขา อยากขโมยเขา อะไรอย่างนี้
ก็พูดจาหลอกลวงเขา ข้อ ๔ เนี่ยข้อหลอกลวง
หลอกลวงเพราะโกรธก็ได้ หลอกลวงเพราะรักก็ได้
ยิ่งหนุ่มๆ นะ มันจะมาจีบสาว อย่าไปเชื่อมันหลอก มันโกหกนะ
อย่างบอกรักคุณที่สุดในโลกเนี่ย พวกเราชาวพุทธต้องชี้หน้ามันเลย โกหก
จะมารักคนอื่นที่สุดในโลก เป็นไปไม่ได้
พระพุทธเจ้าบอกแต่ละคนรักตัวเองที่สุดในโลก
นี่คนทำผิดศีลได้นะ เพราะกิเลสมันย้อมจิต
ถ้าเรารักษาจิตไว้ได้นะ การรักษาศีลจะเป็นของง่าย
ครูบาอาจารย์ท่านเคยสอนหลวงพ่อมา
บอกว่าถ้ารักษาจิตได้อันเดียว ศีลก็เกิดขึ้นแล้ว
อะไรเป็นเครื่องมือรักษาจิต ไม่ให้เกิดกิเลสครอบงำจิต ก็คือสตินั่นเอง
เพราะฉะนั้นถ้าเรามีสติรักษาจิตไว้นะ ศีลจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
ไม่ใช่เรื่องยากเห็นไหม ฝึกให้มีสติขึ้นมา
กิเลสอะไรเกิดขึ้นในใจเราคอยรู้ กิเลสอะไรเกิดขึ้นในใจ คอยรู้
กิเลสเกิดทั้งวัน เดี๋ยวก็ราคะเกิดนะ ชอบใจ อยากจะดึงอันโน้นอันนี้เข้าหาตัวเอง
เดี๋ยวโทสะเกิด อยากจะผลักอารมณ์อันโน้น อันนี้ออกไป อยากให้มันพ้นๆ ไป
เดี๋ยวโมหะเกิดนะ หลงลืมเนื้อลืมตัว ลืมกายลืมใจ ฟุ้งซ่านไปนะ ลืมตัวเอง
หรือไม่ละอายบาป ไม่เกรงกลัวผลของบาปอะไรอย่างนี้ พวกตระกูลโมหะนะ
เกิดความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย เรียกว่าเป็นพวกโมหะ
แต่ถ้าลังเลสงสัยว่าถนนข้างหน้านี่ชื่ออะไร อันนี้ไม่เรียกว่าโมหะนะ
ไม่ใช่เรียกว่าสงสัยฟุ้งซ่าน ไม่ใช่
ถ้าความลังเลสงสัยเนี่ย หมายถึงสงสัยในพระรัตนตรัย
สงสัยของอื่นน่ะมันสงสัยธรรมดา คนคนนี้ชื่ออะไร ไม่ใช่ตระกูลโมหะ
ให้เราคอยมีสติไว้ สังเกตที่ใจเรา
เดี๋ยวใจเราก็หิวอารมณ์ อยากได้
เดี๋ยวใจเราก็เกลียดอารมณ์ อยากผลักนะ
เดี๋ยวใจเราก็ลืมตัวเอง ลืมกายลืมใจ
กายเป็นยังไงก็ไม่รู้ ใจเป็นยังไงก็ไม่รู้
ลืมตัวเอง หลงลืมตัวเอง เนี่ยโมหะ
ให้คอยสังเกตจิตไปเรื่อยๆ หัดสังเกตจิตไปเรื่อยๆ
จิตเกิดราคะก็รู้ทัน จิตเกิดโทสะก็รู้ทัน จิตหลงไปก็รู้ทัน

พุทธสถาน จ.เชียงใหม่
๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๒

udonterritory 800x

สาระธรรมควรคิด โดย ว.วชิรเมธี

มนุษย์เกิดมาในโลกอย่างมีความหมาย ไม่มีใครเกิดมาไร้ค่าหรือเกิดมาเพื่อจะถูกลืม ยกเว้นคนที่พยายามจะทำให้คนอื่นลืมตนเอง ไม้ทุกต้น หญ้าทุกชนิด ก็เช่นเดียวกับน็อตทุกตัว ที่ถูกผลิตมาเพื่อเหมาะสมกับภารกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง ณ เวลาใดเวลาหนึ่งเสมอ

          คนที่เข้าใจโลก ถึงขั้นจะมองเห็นอะไรๆ ที่คนอื่นเขาเครียดกันเป็นเรื่องขำขันได้ จะมีอายุยืน อยู่ในโลก แต่ไม่หลงโลก อยู่ในโลกเพื่อเหยียบโลกเล่น ไม่ใช่แบกโลกไว้บนบ่า คนอย่างนี้หายาก แต่มีอยู่ที่ไหน คนอยู่ใกล้ก็มีความสุข

          มีความจริงทั้งสองด้านรวมอยู่ในตัวมันเองเสมอ ต่างแต่ว่าเราจะเลือกหยิบด้านใดขึ้นมาประยุกต์ใช้ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเท่านั้น

          คนที่คิดทางบวกเป็นคนที่โชคดีและได้กำไรเสมอ ส่วนคนที่คิดในทางลบ แม้เรื่องดีๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ก็ยังไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์กับตน วิธีคิดบ่งบอกอนาคต กำหนดชะตากรรม เราคิดอย่างไรก็จะกลายเป็นคนอย่างนั้น คิดบวก ชีวิตก็เป็นบวก คิดลบ ชีวิตก็ติดลบ

          ที่ใดมีปัญหา ที่นั่นย่อมมีทางออก ปัญหาและทางออกจึงเป็นเสมือนสองด้าน ของเหรียญกษาปณ์อันเดียวกัน เพียงมีสติรู้จักพลิกปัญหา ก็จะพบว่ามีภูมิปัญญาอันเลิศล้ำ รอให้ค้นพบอยู่อย่างท้าทาย

          หากแอปเปิ้ลที่อยู่ในมือมันช้ำเพียงบางส่วน แทนที่เธอจะโยนทิ้งไปทั้งหมด เธอก็ควรจะเลือกเฉือนเอาด้านที่ช้ำนั้นออกเสีย แล้วเลือกรับประทานส่วนที่ดี เพียงแค่นี้เธอก็ได้ลิ้มโอชารสอันหอมหวาน มัน กรอบ อร่อย ของแอปเปิ้ลลูกที่อยู่ในมือของเธอแล้ว

          ความสุขหรือความทุกข์ บางครั้งอยู่ที่ "ท่าที" ในการเผชิญของเราเป็นสำคัญ ถ้า "รู้เท่าทัน" สิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างมีสติ ทุกข์อาจกลายเป็นสุข ปัญหาอาจกลายเป็นปัญญา วิกฤติอาจถูกแปรเป็นโอกาส

          ชื่อเสียงที่แท้จริงซึ่งเกิดขึ้นจากความดีงามอันบริสุทธิ์ แม้ใครจะพยายามลบล้างให้มัวหมอง แต่เมื่อมรสุมแห่งความเท็จผ่านพ้นไป ก็จะกลับแวววาวพราวพรายขึ้นมาได้อีกเสมอ

          หากป่วยกายอยู่แล้ว อย่าให้ใจต้องมาป่วยซ้ำลงไปอีก ถ้าป่วยกาย แต่ใจไม่ป่วย โอกาสหายป่วยย่อมมีมาก
แต่ถ้าป่วยกายด้วย ป่วยใจด้วย บางทีโรคกายไม่ร้ายแรง แต่ก็อาจทุกข์ทรมานเพราะโรคใจคอยแทรกซ้อน

          ขออย่าได้ท้อถอยในการที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ คนเรายามที่เป็นปุถุชนก็มีโอกาสผิดพลาดด้วยกันทั้งนั้น แต่คนโง่จะปล่อยให้ผิดพลาดแล้วผิดพลาดเลย ส่วนคนที่มีปัญญาเมื่อรู้ว่าผิดพลาดไปแล้ว จะรีบถอนตนออกมาอย่างทันท่วงที แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่มี่ซ้ำรอยเดิม

          น้ำเน่าอาจระเหยกลายเป็นเม็ดฝนหล่อเลี้ยงผืนโลก กรวดทรายต่ำต้อยอาจถูกหล่อหลอมเป็นศิลป์สถาปัตย์
ทรงคุณค่าระดับสากล ข้าวเปลือกในนาอาจกลายเป็นกระยาหารของพระมหาจักรพรรดิ ลูกกุลีอาจกลายเป็นมหาเศรษฐีพันล้าน ฯลฯ

          ขอเพียงมนุษย์ไม่ดูถูกตัวเอง ตระหนักรู้ถึงศักยภาพพิเศษที่ซุกซ่อนอยู่ในตน แล้วเพียรเจียระไนชีวิตให้แวววาวพราวพรายด้วยการศึกษาเรียนรู้ ซึมซับเก็บรับบทเรียนจากการงานและการใช้ชีวิตอย่างสุขุม ก็ย่อมจะมีชีวิตที่คุ้มค่า สงบ ร่มเย็น และเป็นสุขได้โดยไม่ยากเย็น

          มือของผู้ให้ อยู่สูงกว่ามือของผู้รับ ชื่อของผู้ให้ น่าจดจำกว่าชื่อของผู้ขอ เกียรติของผู้ให้ กรุ่นหอมอยู่เหนือกาลสมัย ยิ่งกว่าเกียรติศักดิ์ของนักรบและปวงวีรบุรุษ

          การให้ แค่เพียงคิดจะทำ ใจก็ยังเป็นสุข ครั้นได้ให้แล้ว จิตใจก็แช่มชื่นเบิกบาน เมื่อวันเวลาผ่านไป หวนกลับไปรำลึกถึงดวงหน้าอันเปี่ยมสุขของผู้รับ ความปีติสุขก็ย้อนกลับมาทำให้หัวใจอิ่มเอม

          การให้ จึงเป็นความสุขแท้ทั้งเวลาก่อนให้ ขณะที่ให้ และหลังจากได้ให้ไปแล้ว

          การเสียสละ แบ่งปัน เป็นทั้งความ "สมาน" คือ ความสามัคคีปรองดองระหว่างกันและกัน และเป็นกุศโลบายในการสร้างความ "เสมอ" คือ ให้คนทุกคนมองเห็นหัวอกของคนอื่น

          เมื่อมนุษย์รู้จักแบ่งปันแก่กันและกัน อันมีพื้นฐานมาจากการมีอัชฌาศัยกว้างขวางเอื้ออารีเช่นนี้ ศานติภาพท่ามกลางความแตกต่าง ก็จะเกิดมีได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

พระสมเด็จอภิมหาเศรษฐีนวโกฏิ

bucha04 bucha05 udonterritory 7

เปิดตำนานสืบสานพระอภิมหาเศรษฐีนวโกฏิ เป็นพระที่หนึ่งในเมืองไทย เป็นพระที่สุดยอด ประติมากรรม สุดยอดพุทธคุณทุกด้าน บูชาแล้ว ประสบความสำเร็จ รุ่งเรือง ร่ำรวย  พระสมเด็จอภิมหาเศรษฐีได้สักการะบูชา เพื่อเพิ่มบุญบารมี เจริญโภคทรัพย์มีเงินทองไหลมาเทมา พระเดชพระคุณ พระอุบาลี คุณูประมาจารย์ผู้ได้กล่าวขานจากตำนานโบราณ ได้สืบสานกันต่อมาว่า มีเศรษฐีผู้ใจดีจากเมืองต่างๆ ในแคว้นพุทธกำเนิด ในพุทธกาลมีเศรษฐี คุณูประมาจารย์  ต่อพระพุทธศาสนา เลื่อมใสในคำสอน พระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ขอออกบวชเพื่อทะนุบำรุงศาสนา ของบรมศาสดาในพุทธองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเศรษฐีคนนี้ได้รับการยกย่องว่า เป็นเลิศในพระพุทธศาสนา ได้เป็นเอตะทัคคะ เป็นผู้เลิศด้วยลาศ เลิศด้วยยศ บรรลุอรหัตผล ในพระพุทธศาสนา บรรลุโสดาปัทผล บรรลุสะกะทาคามี บรรลุอนาคามี บรรลุอรหัตผล พระมหาเศรษฐีทั้ง ๙ คน มีดังนี้

     ท่านยศเศรษฐี หรือท่าน ยสะเศรษฐี เกิดในตระกูลของเศรษฐี เมืองพาราณสี แคว้นกาสี วรรณไวยสะ เกิดมามีความสุข มีปราสาท ๓ ฤดู แบบเจ้าชายสิทธัตทะ สมรสกับลูกสาวตระกูลเสมอกันแต่ไม่มีลูก วันหนึ่งได้เดินทางไปกราบพระพุทธเจ้า ที่ป่าอิสิปัตตะนะ มฤคทัยวรรณ ได้พบพระพุทธเจ้า ขณะที่เดินจงกรมอยู่กลางแจ้ง พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นแต่ไกล ก็เชิญมาตรงนี้  ท่านยสะดีใจก้มกราบ พระพุทธเจ้าทรงยกอนูบุพพะพิคาถา แสดงธรรมให้ฟังตามลำดับ  คือ ศีล ทาน บารมี สวรรค์ เรื่องของการเกิด การตาย ท่านยสะฟังแล้วเข้าใจ มีจิตใจที่สงบ ซึ่งในพระธรรมชั้นสูง ได้บรรลุโสดาบรรณทันที พระพุทธเจ้า ทรงทราบว่า พระยสะทรงบรรลุอรหัตถ์ผลแล้ว ไม่ควรกลับไปครองเรือน เมื่อจบพระพุทธดำรัส ท่านยสะ ก็ได้เป็นพระอรหัตผล เป็นอรหันต์ในพระพุทธศาสนาด้วยการบวช แบบ เอหิภิกขุ สัมปะทา เช่นเดียวกับ เบญจวคีย์ พระยสะเป็นพระคณะแรกที่ได้แสดงจารึกธรรมของพุทธเจ้า ที่ส่งไปประกาศพุทธศาสนา ทั้ง ๖๐ รูป และมีคณะเศรษฐีบวชตามอีก ๕๔ รูป พระยสะเป็นสาวกรูปแรก ที่ได้บรรลุอรหัตผลทั้งที่ยังเป็นฆราวาสอยู่ เนื้อตัวยังหอมกรุ่นด้วยเครื่องหอม บรรลุวิชา ๓ ตามคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

     ท่านเศรษฐีชฎิล เมื่อพระกัสสะปะสัมมาสัมพุทธเจ้าดับขันธุ์ปรินิพพานชาวพุทธพร้อมกันที่จะสร้างพระมหาเจดีย์ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ เพื่อให้มนุษย์เทวดาได้สักการะบูชา ในสมัยพระอรหันต์สมัยหนึ่ง เห็นว่า มุขทางทิศเหนือ ยังสร้างไม่สำเร็จ ยังขาดทองคำจำนวนมาก จึงประกาศหาผู้ร่วมบุญบริจาคทองคำ  ท่านชฏิล เป็นคนหนึ่ง ที่ได้รับการบอกเล่าจากภรรยาว่า ท่านชฏิลเป็นเศรษฐีที่มีกรรมมาก ขอให้ทำบุญด้วยการถวามทองคำแล้วจะพ้นกรรม ท่านชฏิล ก็ปฏิบัติตามคำแนะนำของภรรยา แล้วก็ได้ไปพบพระเถระ ท่านชะตินชวนลูกหลานถวายทองตามคำแนะนำ แล้วก็พ้นกรรมได้สละทรัพย์คือ ถวายทองคำ ถวายเพื่อสร้างเจดีย์ แล้วเจดีย์ก็เสร็จสมบูณ์ ท่านชฏิลก็อิ่มในผลบุญ สมบัติทั้งหมดก็ยกให้ลูกหลานบริวาร แล้วท่านก็ออกบวช สำเร็จพระอรหัตผล 

     ท่านสุมังคละเศรษฐี   ท่านเป็นอภิมหาเศรษฐีที่ใจบุญ ได้ถวายทาน ได้สร้างมหาวิหาร เพื่อถวาย พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร ท่านถวายทองคำ ท่านสุมังคลเศรษฐี ได้ถวายทานใหญ่หลวง ท่านสุมังคลเศรษฐี เป็นผู้มีบุญบารมีมาก ได้สร้างถวายทาน ถวายแก่พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร ถวายพระเจดีย์ ได้สละทรัพย์ แล้วก็ออกบวช ตามพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

     ท่านอนาถปิณฑิกะเศรษฐี เอตะทัคคะอัครทายก ท่านเป็นลูกมหาเศรษฐีที่เกิดในเมือง สาวัตถี เป็นโยมอุปลาก เมื่อพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดขึ้นมา ท่านมีความปิติยินดียิ่งนัก อยากเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า จนหลับแล้วตื่น ๓ ครั้ง ถึงได้พบ แล้วจึงเดินทางออกจากกรุงราชคฤษ์ ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ที่ป่าอิสิปะตะนะมฤคทัยวรรณ ได้ถวายอาหาร ถวายทรัพย์สินเงินทอง เมื่อท่านเดินทางไปถึง นครสาวัตถี จึงได้ซื้อที่ดิน ๑๘ โกฏิ ห่างจากบ้านคน ได้ก่อสร้างวิหารหอฉันท์ เรือนไฟที่เดินจงกรม บ่อน้ำ ศาลาบ่อน้ำ ถวายพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกรุงราชคฤษ์ นครสาวัตถี พระพุทธเจ้าทรงอนุโมทนาว่า คนที่สร้างวิหารพระเจดีย์ให้พระที่อยู่อาศัย ป้องกันภัยร้อนเย็น ย่อมได้รับบุญกุศลอานิสงค์ที่ใหญ่หลวง แล้วท่านก็ถวายบริจาคทาน ออกบวชตามพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า 

     ท่านโชติกะเศรษฐี เกิดที่กรุงพาราณสี ท่านโชติกเป็นเศรษฐีผู้เลื่อมใสในพระปัจเจกพุทธ ชอบการทำบุญถวายทาน ปรารถนาขอบรรลุธรรม ในชาตินี้ และท่านก็ได้บรรลุธรรมตามปรารถนา ได้เป็นพระอรหัตผล บำรุงศาสนา ได้ทำบุญถวายทรัพย์ หนึ่งแสนกระดุมพี พร้อมบ่าวไพร่ แล้วได้ออกบวช ในพระพุทธศาสนา ได้บรรลุพระอรหันต์

      ท่านสุมนะเศรษฐี ท่านเป็นขาวราชคฤษ์ เมื่อพระสารีบุตรเถระได้มองด้วยญานทิพย์ว่า บุรุษผู้นี้เป็นคนมีบุญ แล้วก็ได้อนุโมทนาให้การแสวงบุญ ถวายทาน ท่านสุมนซึ้งในคำสั่งสอน แล้วก็ได้ออกบวชในศาสนา ของบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

      ท่านธนันชัยเศรษฐี และ นางวิสาขามหาอุบาสิกา นางวิสาขาเป็นลูกสาวของท่านธนันชัย นางวิสาขาเกิดในตระกูลเศรษฐี  นางวิสาขาเป็นกุลสตรี ในกาลต่อมา นางวิสาขาเป็นคนแรกที่ได้ถวายผ้าอาบน้ำฝน นางวิสาขาได้ให้บริวารไปที่วัดเพื่อให้ถวายน้ำปานะ ในวันหนึ่ง ขณะบริวารไปถึงวัด เวลาฝนตก จึงเห็นพระสงฆ์ทั้งหลายเปลือยกายอาบน้ำฝน  บริวารได้กลับมาบอกนางวิสาขาว่า ที่วัดไม่มีพระแต่รูปเดียว  มีแต่ชีเปลือยอาบน้ำฝน นางวิสาขาเป็นอริยบุคคล ชั้นโสดาบรรพ์เป็นมหาอุบาสิกา จึงขออนุญาตถวายผ้าอาบน้ำฝน พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต นางวิสาขาเป็นมหาเศรษฐี มหาอุบาสิกาผู้ยิ่งใหญ่ เป็นยอดแห่งอุปถายิกา บำรุงศาสนาตามหลัก  บุญกริยาวัตถุ วันฉลองวิหาร วัดบุพพะพาราม มีความปรารถนา คือ สร้างปราสาทปูนวิหารถวาย ถวายเตียง ตั่งฟูก หมอน เสนาสนพันธุ์ ถวายหลายสิ่งหลายอย่าง และนางวิสาขาเป็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยกย่องว่า เป็นเอตะทัคคะ เป็นเลิศในมหาอุบาสิกา เป็นทายิกาผู้เป็นบุญมหาเศรษฐี ของสมเด็จอภิมหาเศรษฐีนวโกฏิ พระที่หนึ่งในเมืองไทย พระที่หนึ่งในแผ่นดิน พระมหาเศรษฐี ทั้ง ๙ นี้ เป็นผู้มีบุญบารมีมาก ล้วนสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล ตั้งแต่ดำรงคราวาสอยู่

      ในสมัยที่เกิดข้าวยุคทุกข์เข็น ข้าวยากหมากแพง ประชาขนเดือดร้อน บังเกิดความอดอยากขึ้นมา จึงมีคนแนะนำให้ หลายๆคนสร้างพระสมเด็จอภิมหาเศรษฐีนวโกฏิขึ้นมา เพื่อสักการะบูชา แก้เคล็ดในความทุกข์ยาก และเมื่อมีการฉลองมีการบวงสรวง มีการทำบุญ สิ่งต่างๆก็ได้บรรเทาเบาบางลง

 

416549

www.moneylinkdirect.com-r=K9IK5HBJTP

 

Monday, March 22, 2010

การใช้ยากระตุ้นทางเพศ

Viagra สามารถออกฤิทธิ์ได้นานถึง 4 ชั่วโมง มีขนาดความแรง 3 ขนาด คือ 25 , 50 และ 100 mg ขนาดยาที่แนะนำให้ใช้คือ 50 mg
รับประทานก่อนมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 1 ชม. อาจเพิ่มขนาดยา เป็น 100 mg. หรือลดลงเป็น 25 mg. ขึ้นกับประสิทธิผลและการทนทาน
ต่อผลข้างเคียงของยา ขนาดสูงสุดที่แนะนำ คือ 100 mg หากใช้ยาในขนาดสูงเกินไป ผลข้างเคียงจะเพิ่มขึ้น หากใช้ยาในขนาดต่ำเกินไป จะไม่ได้ผล การดูดซึมของยานี้ถูกรบกวนโดยอาหาร กล่าวคือ หากรับประทานยาพร้อมอาหาร ยาจะถูกดูดซึมน้อยลงร้อยละ 11
และถ้าหากอาหารมื้อนั้น มีไขมันสูง การดูดซึมจะลดลงได้มากถึงร้อยละ 29 และมีผลทำให้ระดับยาในกระแสเลือดขึ้นช้าไป 1 ชั่วโมง ดังนั้นจึงควรรับประทานยานี้ ในขณะท้องว่างได้แก่ ก่อนอาหารประมาณ 30 นาที หรือหลังอาหารประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งในกรณี นี้ยาจะถูกดูดซึมไปใช้ประโยชน์ ได้เพียงร้อยละ 41 ของปริมาณยาทั้งหมด ที่รับประทานเข้าไป
โดยทั่วไปยานี้ จะได้มีระดับยาสูงสุดในกระแสเลือด ภายหลังจากรับประทานยาไป นาน 30 นาที ถึง 2 ชั่วโมง หรือโดยเฉลี่ยประมาณ
1 ชั่วโมง ดังนั้น จึงแนะนำ ให้รับประทานยานี้ ก่อนการมีเพศสัมพันธ์ ประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งสำหรับบางคน อาจออกฤทธิ์ได้ภายใน
ครึ่งชั่วโมง แต่สำหรับบางคน ต้องรอนานถึง 2 ชั่วโมง จึงจะได้ผล ยานี้จะไม่ออกฤทธิ์ หากผู้ใช้ยาไม่ได้รับการกระตุ้น
ทางเพศในเวลาอันเหมาะสม

ยานี้จะถูกขับถ่ายอออกจากร่างกายทางอุจจาระ ผู้สูงอายุ ( อายุมากกว่า 65 ปี ) จะขจัดยา ได้น้อยกว่า ผู้ที่มีอายุน้อย ( 18-45 ปี )
ทำให้ได้ระดับยาในเลือดสูงขึ้น ในผู้สูงอายุ โดยได้ระดับยาสูงกว่าคนอายุน้อย ถึงร้อยละ 85 ดังนั้นในผู้สูงอายุควรเริ่มใช้ยาใน
ขนาดต่ำที่สุดคือ 25 มิลลิกรัม
ส่วน Cialis นั้นสามารถออกฤิทธิ์ได้นานระหว่าง 24 - 36 ชั่วโมง มีขนาดความแรง 2 ขนาด คือ 10 และ 20 mg ขนาดยาที่แนะนำให้ใช้
คือ 10 mg รับประทานก่อนมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 30 นาที. อาจเพิ่มขนาดยา เป็น 20 mg. ขึ้นกับประสิทธิผลและการทนทานต่อผล
ข้างเคียงของยา ขนาดสูงสุดที่แนะนำ คือ 20 mg หากใช้ยาในขนาดสูงเกินไป ผลข้างเคียงจะเพิ่มขึ้น หากใช้ยาในขนาดต่ำเกินไป จะไม่ได้ผล
การดูดซึมของยานี้ถูกรบกวนโดยอาหาร เช่นเดียวกับยาในกลุ่ม Viagra ไม่ควรรับประทานยานี้เกินวันละ 1 ครั้ง หากรับประทานยาไปแล้ว
1 เม็ดไม่ได้ผล ก็ไม่ควรรับประทานยาซ้ำเข้าไปอีก ควรลองใหม่ในวันรุ่งขึ้น การใช้ยาไวอะกร้าและCialisร่วมกับยาในกลุ่มไนเตรตจะ
เสริมฤทธิ์ในการลดความดันโลหิต จึงห้ามให้ยานี้ ร่วมกับ nitric oxide doners หรือยาไนเตรทรูปแบบอื่น ๆ ที่ซึ่งเป็นยาที่ใช้ในการ
ขยายหลอดเลือดหัวใจ ของผู้ป่วยโรคหัวใจบางราย ยามีอายุในการเก็บรักษาเพียง 2 ปี จึงไม่ควรเก็บไว้คราวละมาก ๆ
เพราะยาอาจหมดอายุ ก่อนที่จะใช้หมด และไม่ควรเก็บยาไว้ในที่ร้อนเกินกว่า 30 องศาเซลเซียส
ข้อแนะนำการใช้ยาในกลุ่ม Viagra และCialis ในผู้ป่วยที่เป็นหรือสงสัยว่าจะเป็นโรคหัวใจ
ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการใช้ยาแบ่งเป็น 3 กลุ่มตามความเสี่ยง ผลข้างเคียงหรือความเสี่ยง ทางระบบหัวใจและหลอดเลือดคือ ความดันโลหิตต่ำ กล้ามเนื้อหัวใจ ขาดเลือดเฉียบพลัน ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตกระทันหัน

ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง และไม่ควรใช้ยา
Viagra และCialis
ผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอเลือดหัวใจตีบ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ยากลุ่ม Nitrates เสมอๆ เช่น ยาอมใต้ลิ้นไนโตรกลีเซอรีน เป็นประจำ ตัวอย่างยากลุ่ม Nitrates เช่น Isordil, Apo-ISDN, Sorbitrate, Ismo, Elantan, Imdur, Isoket, Isotrate, Peritrate, Nitroderm, Nitrol Ointment, Nitroglycerine,Nitradisc, Angised เป็นต้น
กล้ามเนื้อหัวใจไม่ปกติ เช่น มีอาการเจ็บหน้าอกจากหัวใจขาดเลือด หรือ เหนื่อยหอบจากหัวใจล้มเหลว โดยเฉพาะเมื่อความดันโลหิตค่อนข้างต่ำ ตัวอย่างของโรคกลุ่มนี้คือ Unstable angina, Acute MI, CHF
ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ที่รับการรักษาด้วยยาลดความดันโลหิตหลายๆตัวในเวลาเดียวกัน
ผู้ที่ได้รับยาบางชนิด เช่น Cimetidine, Erythromycin, Ketoconazole หรือผู้ป่วยโรคตับหรือไตวาย อาจจะทำให้ half life ของ Viagra นานกว่าปกติ

ผู้ป่วยและไม่ป่วยแต่อาจจะมีความเสี่ยงต่อการได้รับยา

ผู้ที่มีอาการเจ็บหน้าอก หรือ หอบเหนื่อยง่าย แต่ไม่เคยได้รับการตรวจมาก่อน
ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด
ผู้ที่มีอาการของความดันโลหิตต่ำเป็นครั้งคราว เช่น หน้ามืด เป็นลมบ่อยๆ
**ผู้ที่ไม่มีความเสี่ยงต่อการใช้ยานี้ คือ ผู้ที่ไม่รวมอยู่ในข่ายข้างต้น**
การปรึกษาแพทย์โรคหัวใจ มีความจำเป็นในกลุ่มผู้ป่วย หรือผู้ที่ไม่ป่วย แต่อาจมีความเสี่ยง แพทย์โรคหัวใจจะได้ทำการตรวจพิเศษ
เพิ่มเติม เพื่อประเมินความเสี่ยงอีกครั้ง
ข้อแนะนำในการดูแลผู้ป่วยที่เกิดภาวะหัวใจผิดปกติ ภายใน 24 ชั่วโมงหลังรับประทานยา Viagra หรือCialis
ถ้ามีอาการเจ็บแน่นหน้าอก ควรรับไว้รักษาในรพ.รักษาแบบเดียวกับ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด แต่ห้ามให้ยากลุ่ม Nitrates ในการรักษาอาการเจ็บหน้าอก
ถ้าผู้มีความดันโลหิตต่ำมาก ควรได้รับการรักษาด้วย IV fluid และ อาจพิจารณาให้ยา กลุ่ม alpha-adrenergic agonist หากจำเป็น
เพื่อกระตุ้นให้ความดันโลหิตสูงขึ้น แต่ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง
คำเตือนและข้อควรระวังสำหรับการใช้ยาในกลุ่ม Viagra และCialis
- ยานี้จะออกฤทธิ์ก็ต่อเมื่อ มีการหลั่งสารไซคลิกจีเอ็มพีแล้ว หมายความว่า ต้องมีการกระตุ้นทางเพศ และผู้ใช้ยาต้องมีความต้องการทางเพศ เกิดขึ้นด้วย ยานี้จึงจะเข้ามาช่วยคงสภาพการแข็งตัวในผู้ที่มีปัญหา ดังนั้นยานี้จะไม่ช่วยปลุกอารมณ์ทางเพศ หรือทำให้พลังทางเพศเพิ่มสูงขึ้น และไม่ช่วยให้ร่วมเพศได้นานขึ้น หรือบ่อยครั้งขึ้น
- ห้ามใช้ในเด็กและสตรี
- ผู้ที่จะได้รับยา ควรได้รับการซักประวัติและตรวจร่างกายจากแพทย์ เพื่อให้แพทย์เลือกวิธีการ รักษาที่เหมาะสม ตลอดจนเป็นการป้องกันอันตรายอันอาจเกิดจากการใช้ยา และอันตรายอันอาจ เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ในผู้ป่วยบางประเภท เช่นผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ เป็นต้น
- ความถี่ในการรับประทานยาสูงสุดไม่เกิน 1 ครั้งต่อวัน